Rather than give offense to another

Rather than give offense to another member of the Christian community and thus bring deplorable dissension into the church, Paul suspended his right to eat that meat. The right of the individual was here subordinated to the welfare of the community, but it was a freely chosen abstinence in which his right was weighed against a more important responsibility.
The polities of protestant churches both reflect and influence the distinction between the priority of the individual and of the community with respect to right. Protestant communions are organized, administered, and maintained by quite diverse canons or polities, but all rest upon one of two general concepts of the church’s nature. The first gives priority to the whole organically structured communion or denomination because it believes the church to be the given social entity – the Body of Christ or Household of god- into which persons are brought. By baptism, usually as an infant, and subsequent confirmation one is made a church member. The identity of individual member is neither dissolved nor lost in the organic community, however. Like “living stones” they become part of the church’s fabric. As in all serious versions of ecclesiology, the member’s personal standing is presumed to be enhanced by belonging to this earthly historical from of Christ’s existence, the body. Communions so characterized usually have an episcopal or Presbyterian order.
The second concept of the church is that of the free, voluntary association of believers. Here, Christian individual come together and are gathered in the fellowship of faith, worship communal life, and mission. As with the organic concept, personal individuality is enhanced by this life in community, but the main difference lies in the sense of priority. “Do not the believers precede the organization of the church?” they ask. The church is not simple there, awaiting the individual (at least in theological thought) precedes, and the polity is usually congregational. During four centuries it has been the type of ecclesiological of human right. Such churches are often, but unclearly, called “free churches.” This is unclear because in the united states they are not “free” as opposed to “established,” but “free” in their congregational voluntarism. Where such Protestant communities have thrived in Western Europe, Great Britain, and individual person over against the right of society.
It may be reasonably argued, and should be note, that other influences apart from religion in general or Protestantism in particular have also accounted for the primacy of the individual’s right in these countries. Philosophical ideas about individual liberty have emanated from the Renaissance in Europe, the Enlightenment in Britain and America, the nineteenth century. While these philosophies have been in some serious ways inimical to Christian faith and the churches, they have, nevertheless, been congenial to the protestant theology which up hold the right and autonomy od each person prior to society’s right. Thus it is easy to see why secular movements for civil right and justice have found more willing cooperation by certain Protestant than by others. Or by the Orthodox and Roman Catholics.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

แทนที่ให้ผิดกับสมาชิกอื่นของชุมชนคริสเตียน และจึง นำความไม่เห็นด้วยที่แย่จริง ๆ เข้ามาในคริสตจักร Paul ระงับขวาเขากินเนื้อนั้น ด้านขวาของแต่ละคนได้ที่นี่รองเพื่อสวัสดิภาพของชุมชน แต่มันเป็นการโมทนาพระคุณท่านได้อย่างอิสระในขวาของเขาถูกชั่งน้ำหนักกับความรับผิดชอบที่สำคัญPolities ของ protestant โบสถ์ทั้งสะท้อน และมีอิทธิพลต่อความแตกต่างระหว่างความสำคัญ ของบุคคล และชุมชนกับขวา ฝ่ายโปรเตสแตนต์ communions จัดระเบียบ จัดการ และโดยชื่อค่อนข้างหลากหลายหรือ polities แต่ทั้งหมดพาดสองแนวคิดทั่วไปของธรรมชาติของคริสตจักรอย่างใดอย่างหนึ่ง ครั้งแรกให้ความสำคัญกับโครงสร้างทั้งหมด organically ร่วมหรือหน่วย เพราะมันเชื่อว่าคริสตจักรจะ กำหนดสังคมเอนทิตี – ร่างกายของพระคริสต์หรือครัวเรือนที่ท่านนำพระเจ้า- โดยการรับบัพติศมา มักจะเป็นการยืนยันการทารก และต่อมา หนึ่งจะได้เป็นสมาชิกโบสถ์ ข้อมูลประจำตัวของสมาชิกแต่ละจะใช่ส่วนยุบ หรือหายไปในชุมชนอินทรีย์ อย่างไรก็ตาม เช่น "หินนั่งเล่น" พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของผ้าของคริสตจักร ในรุ่นทั้งหมดอย่างจริงจัง ecclesiology ยืนส่วนบุคคลของสมาชิกคือ presumed จะถูกปรับปรุง โดยเป็นของเอิร์ทลี่นี้ประวัติศาสตร์จากของการดำรงอยู่ของพระคริสต์ ร่างกาย Communions ดังนั้น ลักษณะโดยทั่วไปมีใบรแตส หรือเกี่ยวกับแนวคิดที่สองของคริสตจักรเป็นของสมาคมฟรี ความสมัครใจของผู้เชื่อ ที่นี่ มาละคริสเตียนด้วยกันและจะรวบรวมในสามัคคีธรรมความเชื่อ ชีวิตชุมชนบูชา และภารกิจ เช่นเดียวกับแนวคิดเกษตรอินทรีย์ เพิ่มบุคลิกลักษณะส่วนบุคคล โดยชีวิตในชุมชน แต่อยู่ที่ความแตกต่างในแง่ของความสำคัญ "ทำไม่ผู้เชื่อหน้าองค์กรของคริสตจักร" เขาถาม คริสตจักรไม่ได้ รอละ (น้อยในศาสนศาสตร์คิด) มาก่อน และ polity มักจะ congregational ในระหว่างศตวรรษที่สี่ จะได้รับชนิดของ ecclesiological สิทธิมนุษย์ คริสตจักรดังกล่าวมักจะ แต่ unclearly เรียกว่า "โบสถ์ฟรี" ชัดเจนเนื่องจากในสหรัฐอเมริกา จะไม่ "ฟรี" จำกัด "ก่อตั้ง" แต่ "ฟรี" ใน voluntarism ของ congregational อยู่ ชุมชนดังกล่าวฝ่ายโปรเตสแตนต์ที่ได้ฟื้นตัวในยุโรปตะวันตก สหราชอาณาจักร และบุคคล over against ด้านขวาของสังคมมันอาจจะสมเหตุสมผลโต้เถียง และควรบันทึก อิทธิพลอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากศาสนาโดยทั่วไป หรือโปรเตสแตนต์โดยเฉพาะมียังคิดเป็น primacy สิทธิของบุคคลในประเทศเหล่านี้ ปรัชญาแนวคิดเกี่ยวกับเสรีภาพละมี emanated จากเรเนสซองในยุโรป ตรัสรู้ในสหราชอาณาจักรและอเมริกา ศตวรรษ ในขณะที่ปรัชญาเหล่านี้ได้รับ inimical ความเชื่อคริสเตียนและคริสตจักรที่ทางอย่างร้ายแรง แต่กระนั้น ไว้เข้ากับศาสนา protestant ที่ค่าสิทธิ และอิสระ od แต่ละบุคคลก่อนขวาของสังคม ดังนั้น จึงง่ายต่อการดูเหตุเคลื่อนไหวทางโลกขวาพลเรือนและความยุติธรรมได้พบร่วมยินดียิ่ง โดยเฉพาะ Protestant กว่าผู้อื่น หรือวออโธดอกซ์และโรมันคาทอลิก

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

แทนที่จะให้ความผิดให้กับสมาชิกของชุมชนที่นับถือศาสนาคริสต์อีกจึงนำความขัดแย้งที่น่าเสียดายเข้าไปในโบสถ์พอลระงับสิทธิของเขาที่จะกินเนื้อสัตว์ที่ สิทธิของบุคคลที่ได้รับการด้อยสิทธิที่นี่เพื่อสวัสดิการของชุมชน แต่มันก็เป็นเว้นเลือกได้อย่างอิสระในการที่สิทธิของเขาที่ได้รับการชั่งน้ำหนักกับความรับผิดชอบที่สำคัญมากขึ้น.
การเมืองของคริสตจักรโปรเตสแตนต์ทั้งสะท้อนและมีอิทธิพลต่อความแตกต่างระหว่างความสำคัญของ บุคคลและของชุมชนด้วยความเคารพไปทางขวา communions โปรเตสแตนต์มีการจัดบริหารงานและการบำรุงรักษาโดยทั่วไปความหลากหลายมากหรือการเมือง แต่ส่วนที่เหลือทั้งหมดเมื่อหนึ่งในสองแนวคิดทั่วไปของธรรมชาติของคริสตจักร ครั้งแรกที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมทั้งโครงสร้างอินทรีย์หรือนิกายเพราะเชื่อว่าคริสตจักรที่จะเป็นนิติบุคคลที่ได้รับทางสังคม - กายของพระคริสต์หรือของใช้ในครัวเรือน god- เป็นที่บุคคลที่จะนำ โดยการล้างบาปมักจะเป็นเด็กทารกและคนยืนยันที่ตามมาจะทำสมาชิกคริสตจักร ตัวตนของแต่ละคนคือค่าหรือละลายหายไปในชุมชนอินทรีย์อย่างไร เช่นเดียวกับ "หินที่อยู่อาศัย" พวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างของคริสตจักร ในขณะที่รุ่นร้ายแรงทั้งหมดของ ecclesiology ยืนส่วนบุคคลของสมาชิกถูกสันนิษฐานว่าจะเพิ่มขึ้นจากที่เป็นประวัติศาสตร์ของโลกนี้ออกจากการดำรงอยู่ของพระคริสต์ร่างกาย communions โดดเด่นดังนั้นมักจะมีพระราชาหรือคำสั่งเพรสไบที.
แนวคิดที่สองของคริสตจักรเป็นที่ของฟรีสมาคมอาสาสมัครของผู้ศรัทธา นี่คือบุคคลที่นับถือศาสนาคริสต์มาร่วมกันและมีการรวมตัวกันในการคบหาของความเชื่อบูชาชีวิตของชุมชนและภารกิจ เช่นเดียวกับแนวคิดอินทรีย์ความแตกต่างส่วนบุคคลจะเพิ่มขึ้นโดยชีวิตนี้ในชุมชน แต่ความแตกต่างหลักอยู่ในความรู้สึกของการจัดลำดับความสำคัญ "อย่าเชื่อนำองค์กรของคริสตจักร?" พวกเขาถาม คริสตจักรไม่ง่ายมีรอของแต่ละบุคคล (อย่างน้อยก็ในความคิดเทววิทยา) นำหน้าและรัฐธรรมนูญที่มักจะมาชุมนุมกัน ในช่วงสี่ศตวรรษจะได้รับชนิดของ ecclesiological ของสิทธิมนุษยชน คริสตจักรดังกล่าวมักจะมี แต่ไม่ชัดเจนเรียกว่า "คริสตจักรฟรี." นี้ก็ไม่มีความชัดเจนเพราะในสหรัฐอเมริกาที่พวกเขาไม่ได้ "ฟรี" เมื่อเทียบกับ "จัดตั้ง" แต่ "ฟรี" ใน voluntarism ชุมนุมของพวกเขา ในกรณีที่ชุมชนโปรเตสแตนต์ดังกล่าวได้เติบโตในยุโรปตะวันตก, สหราชอาณาจักรและบุคคลข้ามกับด้านขวาของสังคม.
มันอาจจะเป็นที่ถกเถียงกันพอสมควรและควรจะทราบว่ามีอิทธิพลอื่น ๆ นอกเหนือจากศาสนาทั่วไปหรือโปรเตสแตนต์โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังได้คิด เป็นอันดับหนึ่งของสิทธิของแต่ละคนในประเทศเหล่านี้ ความคิดปรัชญาเกี่ยวกับเสรีภาพส่วนบุคคลได้เล็ดลอดออกมาจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาในยุโรปตรัสรู้ในอังกฤษและอเมริกาศตวรรษที่สิบเก้า ในขณะที่ปรัชญาเหล่านี้ได้รับในวิธีการบางอย่างที่ร้ายแรงปฏิปักษ์เพื่อความเชื่อของคริสเตียนและโบสถ์ที่พวกเขาได้ แต่รับพอใจกับธรรมโปรเตสแตนต์ขึ้นซึ่งถือสิทธิและอิสระ od แต่ละคนก่อนไปทางขวาของสังคม ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเห็นว่าทำไมการเคลื่อนไหวทางโลกเพื่อสิทธิพลเมืองและความยุติธรรมได้พบความร่วมมือเต็มใจมากขึ้นโดยโปรเตสแตนต์บางกว่าคนอื่น ๆ หรือโดยออร์โธดอกและโรมันคาทอลิก

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

แทนที่จะให้ความผิดให้กับสมาชิกของชุมชนคริสเตียน และจึงนำน่าเสียดายความแตกแยกในคริสตจักร พอล ระงับสิทธิของเขาที่จะกินเนื้อ สิทธิของบุคคลนี้ด้อยสิทธิสวัสดิการของชุมชน แต่ก็เป็นอิสระเลือกเว้นที่ถูกต้องของเขาหนักกับความรับผิดชอบที่สำคัญ .
โบสถ์ของโปรเตสแตนต์ในพ.ศ. ทั้งสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างความสำคัญและอิทธิพลของบุคคล และชุมชนด้วยความเคารพครับ โปรเตสแตนต์ communions จัด บริหารและดูแลโดยศีลหรือพ.ศ. ค่อนข้างหลากหลาย แต่ที่เหลือทั้งหมดบนหนึ่งในสองแนวคิดทั่วไปของธรรมชาติของโบสถ์ครั้งแรกที่ให้ความสําคัญกับทั้งโครงสร้างอินทรีย์การมีส่วนร่วมหรือนิกาย เพราะเชื่อว่าคริสตจักรเป็นองค์กรทางสังคมให้แก่ร่างกายของพระคริสต์ หรือของใช้ในครัวเรือนของพระเจ้า - ซึ่งเป็นคนเอามา โดยการบัพติศมา มักจะเป็นทารก ตามมายืนยันหนึ่งถูกสร้างเป็นโบสถ์สมาชิกเอกลักษณ์ของสมาชิกแต่ละคน ไม่ละลาย หรือหายไปในชุมชนอินทรีย์ , อย่างไรก็ตาม เหมือนชีวิต " หิน " ที่พวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของผ้าของโบสถ์ ขณะที่ในรุ่นทั้งหมดที่ร้ายแรงของ ecclesiology , สมาชิกส่วนตัวยืนให้สันนิษฐานถูกเพิ่มโดยของนี้ของประวัติศาสตร์จากการดำรงอยู่ของพระคริสต์ , ร่างกายcommunions ดังนั้นลักษณะมักจะมีบาทหลวง หรือ ระเบียบคำสั่ง
แนวคิดที่สองของคริสตจักรคือของฟรี สมาคมของผู้ที่สมัครใจ ที่นี่ แต่ละตัว คริสเตียน มาด้วยกัน และจะรวมตัวกันในสมาพันธ์แห่งศรัทธา บูชา ชีวิต ชุมชน และภารกิจ ด้วยแนวคิดเกษตรอินทรีย์ บุคลิกลักษณะส่วนบุคคลเพิ่ม โดยชีวิตในชุมชนแต่ความแตกต่างหลักอยู่ในความรู้สึกอย่างมาก " ไม่ศรัทธานำหน้าองค์กรของโบสถ์ " พวกเขาถาม โบสถ์ไม่ง่ายมีรอบุคคล ( อย่างน้อยก็ในความคิดทางเทววิทยา ) นำหน้า และรัฐ มักจะมีที่มา . ในช่วงสี่ศตวรรษได้รับประเภทของ ecclesiological ของสิทธิมนุษยชน โบสถ์ดังกล่าวบ่อยครั้ง แต่ unclearly ,เรียกว่า " โบสถ์อิสระ . " นี้ยังไม่ชัดเจน เพราะในสหรัฐอเมริกาพวกเขาจะไม่ " ฟรี " เป็นนอกคอก " สร้าง " แต่ " ฟรี " ใน voluntarism ที่มาของพวกเขา ที่ชุมชนโปรเตสแตนต์มี thrived ในยุโรปตะวันตก เช่น สหราชอาณาจักร และแต่ละคนมาต่อต้านสิทธิของสังคม มันอาจจะแย้ง
พอสมควร และควรทราบที่อิทธิพลอื่น ๆนอกเหนือจากศาสนาทั่วไปหรือโปรเตสแตนต์โดยเฉพาะยังเป็นสัดส่วน primacy ของบุคคลที่อยู่ในประเทศเหล่านี้ ความคิดทางปรัชญาเกี่ยวกับเสรีภาพส่วนบุคคลมี emanated จากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาในยุโรป ตรัสรู้ในอังกฤษและอเมริกา ศตวรรษที่สิบเก้าในขณะที่ปรัชญาเหล่านี้ได้ในบางวิธีที่ร้ายแรงซึ่งไม่เป็นมิตรกับความเชื่อคริสเตียนและคริสตจักรที่พวกเขามี แต่มาถูกใจกับเทววิทยานิกายโปรเตสแตนต์ซึ่งถูกจับและเป็นอิสระจากแต่ละคนก่อน สังคมถูก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายเพื่อดูว่าทำไมการเคลื่อนไหวฆราวาสเพื่อสิทธิและความยุติธรรมได้พบความร่วมมือยินดีมากขึ้น โดยบางโปรเตสแตนต์กว่าผู้อื่น