ผลการวิจัยยังพบว่าเด็กที่มีอาการเขินอายจะมีความสามารถทางการแข่งขันและความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่าเพื่อนๆ ส่วนเด็กที่เข้าโรงเรียนแล้วจะมองว่าตนเองมีมนุษยสัมพันธ์น้อยกว่าเพื่อนๆ และไม่มีความพอใจต่อตนเอง ปัจจัยที่กล่าวมานั้นจะส่งผลให้เกิดทัศนคติด้านลบจากบุคคลภายนอก ที่สำคัญก็คือ เด็กที่มีอาการขี้อายอย่างรุนแรงมักจะยอมรับว่าตนเองโดดเดี่ยวมากกว่าผู้อื่น มีเพื่อนสนิทน้อย และมีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามน้อยกว่าเพื่อนๆ เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่
เด็กที่มีอาการขี้อายมักจะเสียเปรียบในสังคมปัจจุบันที่เร่งรีบแบบนี้ เพราะจะสื่อสารกับผู้อื่นและหาทางผ่อนคลายได้ยากกว่าคนอื่นๆ อาจกล่าวได้ว่า อาการขี้อายนั้นจะเป็นอุปสรรคที่ทำให้เด็กไม่สามารถเรียนรู้ทักษะทางสังคมเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มได้ และที่แย่ไปกว่านั้นคือ เด็กที่มีอาการขี้อายอาจติดนิสัยสันโดษและไม่ยอมพบเจอคนอื่นๆ หรือสร้างมิตรภาพใหม่ๆ หรือแม้แต่การมีความรัก
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมนั้นเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญของมนุษย์ ซึ่งมีผลกระทบต่อภาวะทางร่างกายและอารมณ์ของเรา ดังนั้น การปล่อยให้เด็กมีลักษณะขี้อายในระดับที่กระทบต่อพัฒนาการทางด้านสังคมของ
เด็กนั้นย่อมส่งผลเสียต่อตัวเด็กในหลายๆ ด้าน อย่างไรก็ตาม ความขี้อายเป็นปัญหาที่สามารถจัดการได้ หากเด็กได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสม