หลังจากที่วานนี้( 18 พ.ค.58) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ได้โพสข้อความพาดพิงถึงนางสาวสมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 ว่า จะเหลือก็แต่คุณสมจิตต์ ช่อง 7 สี ที่ยังชื่นชมคุณอภิสิทธิ์ไม่แปรผันในชาตินี้ หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศเลิกเล่นการเมืองหากแพ้เลือกตั้ง
วันที่ 19 พ.ค 58 นางสาวสมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก สมจิตต์ นวเครือสุนทร ว่า
ไม่ได้ให้ “คุณค่า”แต่มีเมตตาอยากให้ “สติ”คุณชูวิทย์
ความจริงไม่คิดว่าจะต้องมีการสื่อสารอะไรเกี่ยวข้องกับคุณชูวิทย์อีก เพราะเป็นคนชอบสื่อสารกับคนที่มี “คุณค่า” ไม่ใช่คนที่มี “ราคา”แต่คุณชูวิทย์ ยังไม่เลิกที่จะพาดพิงถึงดิฉัน
ความจริงไม่ใช่เรื่องใหญ่ไม่ได้ติดใจในความคิดของคุณชูวิทย์ที่ว่า “จะเหลือก็แต่คุณสมจิตต์ ช่อง 7 สี ที่ยังชื่นชมคุณอภิสิทธิ์ไม่แปรผันในชาตินี้” เพราะเป็นสิทธิที่คุณชูวิทย์จะจินตนาการได้
แต่ที่ต้องเขียนในครั้งนี้ก็เพราะเนื้อหาที่คุณชูวิทย์ให้กับประชาชนเป็นการกล่าวหาโดยไม่อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลในฐานะที่เคยเป็นครูมาก่อน ดิฉันเมตตาศิษย์พร้อมที่จะอธิบายซ้ำ ๆ หลายครั้งในประเด็นเดิมเสมอ เพื่อ “เติมสติปัญญา” ให้
เจตนาของคุณชูวิทย์คือ “ด่าอภิสิทธิ์แต่มาแขวะสมจิตต์ด้วย” ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย และไม่ใช่วิสัยของ “ลูกผู้ชาย” พึงจะกระทำ
กรณีแขวะดิฉันไม่เป็นไรค่ะ แต่การให้ข้อมูลของคุณชูวิทย์มีปัญหา จะส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของประชาชน จึงอยากให้ความจริงเพื่อให้ประชาชนเปรียบเทียบกับวาทกรรมของคุณชูวิทย์
วาทกรรมชูวิทย์ กับความจริงเกี่ยวกับ “อภิสิทธิ์”
วาทกรรมชูวิทย์ คนไทยเคยฝากความหวังกับอภิสิทธิ์ แต่ตอนนี้หมดหวังเพราะอภิสิทธิ์เปลี่ยนแปลงไป
ความจริงเกี่ยวกับ “อภิสิทธิ์”เอาแค่ตอนเป็นนายกรัฐมนตรี มาดูข้อมูลดีกว่า
– ตอนเป็นฝ่ายค้านค้านเรื่องห้วยตู้ออนไลน์ เมื่อเป็นนายกฯระงับเรื่องนี้มีนโยบายไม่ทำหวยตู้สองตัว สามตัว แต่จะใช้หวยตู้แก้ปัญหาราคาสลากกินแบ่งแทน โดยเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชนซื้อจากหวยตู้ และอยู่ในระหว่างการปรับโครงสร้างเรื่องโควต้า แต่พ้นจากตำแหน่งก่อนที่จะดำเนินการสำเร็จ รัฐบาลยิ่งลักษณ์พยายามแก้กฎหมายเพื่อทำหวยบนดินสองตัวสามตัวแต่ไม่สำเร็จ แต่มาสำเร็จในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ที่เห็นชอบพ.ร.บ.สลากกินแบ่งรัฐบาลเปิดช่องให้ทำหวยบนดินได้อย่างถูกกฎหมายแล้ว
– ตอนเข้ามาทำงานการเมืองคุณอภิสิทธิ์มีจุดยืนต้องการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองให้ดีขึ้น ยกระดับมาตรฐานทางการเมือง ตัวอย่างที่วางรากฐานสวัสดิการสังคมและสร้างบรรทัดฐานทางการเมือง 10 ข้อ ละกันนะคะ
1) เพิ่มสวัสดิการแรงงาน ให้ลาคลอดได้ 90 วัน ให้แรงจูงใจกับผู้ประกอบการด้านภาษี สร้างศูนย์เด็กเล็กในสถานประกอบการเพื่อให้แม่ได้ดูแลลูก ,ส่งเสริมการอ่านโดยมีโครงการหนังสือเล่มแรกให้เด็กแรกเกิดและเตรียมพิจารณาลดภาษีกิจการที่เกี่ยวกับหนังสือ
2)พัฒนา 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ให้ประชาชนรักษาได้ฟรีโดยใช้บัตรประชาชนแค่ใบเดียวแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เปลี่ยนใหม่จากที่ไม่ต้องจ่ายให้คนไทยกลับมาจ่าย30 บาท เพื่อรักษาโลโก้ทางการเมือง
3) ออกกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เสนอเข้าสภา ที่แม้แต่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ยังทำไม่ได้ แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ปล่อยให้กฎหมายดังกล่าวตกไป
4) ออกโฉนดชุมชนแก้ปัญหาที่ทำกินให้ประชาชน แต่ชะงักเพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่เดินหน้าต่อ ส่วนรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ใช้แนวทางเดียวกันแต่เปลี่ยนชื่อใหม่ไม่เรียกว่า “โฉนดชุมชน”
5) ออกกฎหมายกองทุนการออมแห่งชาติ รองรับปัญหาสังคมผู้สูงอายุและส่งเสริมการออมของประชาชน แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ดำเนินการ ส่วนรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ยึกยักในตอนแรกก่อนจะถูกกระแสสังคมและ สปช.กดดันจนต้องเดินหน้าต่อ
6) แก้ปัญหาการผูกขาดโควต้านำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ด้วยการออกมติ “เปิดเสรีนำเข้า” เพือให้ราคาไข่ไก่เป็นไปตามกลไกตลาด ไม่ถูกควบคุมโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ ซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์พยายามแก้แต่ไม่สำเร็จ มาถึงรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ดำเนินการแล้วโดยให้อำนาจเอ้กบอร์ดเป็นผู้พิจารณา
7) นโยบายพลังงานชัดเจนว่าคนไทยเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติมีสิทธิใช้ก๊าซแอลพีจีในราคาภายในประเทศ แยกอุตสาหกรรมให้ใช้ในราคานำเข้า แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ลอยตัวพลังงานให้คนไทยใช้แอลพีจีในราคานำเข้า
8) มีนโยบายไม่เพิ่มอุตสาหกรรมหนัก หรือโครงการขนาดใหญ่ที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน หลังจากมีปัญหาคดีมาบตาพุด แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์และรัฐบาลประยุทธ์ เดินหน้าโครงการขนาดใหญ่โดยคิดถึงเงินมากกว่าคน เช่น จะสร้างท่าเทียบเรือปากบารา เป็นต้น
9) 28 ก.ย. 2553 มีความพยายามของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยการเสนอแก้ไขร่างพระราชบัญญัติแร่ ในที่ประชุมครม. แต่ถูกตีกลับ เนื่องจากขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 67 เรื่องสิทธิชุมชน แต่กฎหมายนี้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์แล้ว
มี มติครม. 8 ก.พ.2554 (รัฐบาลอภิสิทธิ์) ให้ชะลอการขยายพื้นที่ใหม่ หรือการออกประทานบัตร (ทำเหมือง) จนกว่าจะได้ข้อสรุปของสาเหตุการเกิดสารปนเปื้อน ผลการประเมินความคุ้มค่าของฐานทรัพยากรธรรมชาติและค่าภาคหลวงแร่กับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน และผลการประเมินผลด้านสุขภาพหรือ HIA รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พยายามเดินหน้าแต่ไม่สำเร็จ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ออกประทานบัตรเหมืองแร่โปแตชแล้ว 2 แห่ง อนุมัติอาชญาบัตร (สำรวจ) เหมืองทองคำ 100 แห่ง มีเป้าหมาย 300 แห่ง และจะออกประทานบัตรเพิ่ม
10) วางมาตรฐาน “จริยธรรมอยู่เหนือกฎหมาย” ให้รัฐมนตรีลาออกเมื่อมีปัญหาเพื่อรับผิดชอบทางการเมืองและรับผิดชอบต่อความรู้สึกของประชาชน โดยไม่ต้องรอกระบวนการตามกฎหหมาย ต่อมาทุกกรณีไม่มีการชี้มูลว่ามีการทุจริต
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณชูวิทย์จะเล็งเห็นเจตนาดีในการให้ข้อมูลครั้งนี้และเชื่อว่าคนฉลาดด้านตัวเลขโยกเงินพ่อมาเข้ากระเป๋าตัวเอง อยู่บนเส้นทางค้าร่างกายมนุษย์ แต่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชน จะนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์กับสังคมนะคะ
และถ้าคุณอภิสิทธิ์ทำอะไรที่เรียกว่า“ทรยศ” ต่อประชาชน ดิฉันให้คำมั่นได้ว