in his brand equity model, David A.

in his brand equity model, David A. Aaker identifies five brand equity components: 1.brand loyalty 2.brand awareness 3.perceived quality 4.brand association and 5.other proprietary assets. Aaker defines brand equity as the set of brand assets and liabilities linked to the brand-its name and symbols-that add value to, or subtract value from, a product or service. these assets include brand loyalty, name awareness, perceived quality and associations. this definition stresses 'brand-added value'; however, his model does not make a strict distinction between added value for the customer/consumer and added value for the brand owner /company

this model can be used to get to grips with a brand's equity and gain insight into the relation between the different brand equity components and (future) performance of the brand. Apart from the five components, the model also reflects indicators of the pursued branding policy. it goes without saying that brand equity will rise as brand loyalty increases, brand name awareness increases, perceived quality increases, brand associations become stronger, and the number of brand-related proprietary assets increase. The model also provides insight into the criteria that indicate to what degree actual value is created with both consumer and company due the pursued branding policy.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ในรูปแบบของแบรนด์หุ้น David A. Aaker ระบุ 5 ยี่ห้อส่วนประกอบ: 1.ยี่ห้อ 2.สมาชิกแบรนด์รับรู้ 3.การรับรู้ที่เชื่อมโยงแบรนด์ 4.คุณภาพและ 5.สินทรัพย์อื่น ๆ เป็นกรรมสิทธิ์ Aaker กำหนดแบรนด์หุ้นเป็นชุดของแบรนด์สินทรัพย์และหนี้สินที่เชื่อมโยงกับแบรนด์เป็นชื่อและสัญลักษณ์-ที่เพิ่มค่า หรือลบค่าจาก ผลิตภัณฑ์หรือบริการ สินทรัพย์เหล่านี้ได้แก่สมาชิกแบรนด์ ชื่อรับรู้ รับรู้คุณภาพ และสมาคม คำนิยามนี้เน้น 'แบรนด์ที่เพิ่มมูลค่า' อย่างไรก็ตาม รุ่นของเขาไม่ได้แตกต่างเข้มงวดระหว่าง added value สำหรับลูกค้า/ผู้บริโภคและเพิ่มมูลค่าสำหรับ /company เจ้าของแบรนด์รุ่นนี้สามารถใช้กับส่วนของแบรนด์ และเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบส่วนแบรนด์ที่แตกต่างกันและประสิทธิภาพการทำงาน (ในอนาคต) ของแบรนด์ นอกจากส่วนประกอบ 5 แบบสะท้อนถึงตัวชี้วัดนโยบายตราสินค้า pursued ยัง มันไปโดยไม่บอกว่า แบรนด์หุ้นจะเพิ่มขึ้นเพิ่มสมาชิกแบรนด์ ยี่ห้อตระหนักเพิ่มขึ้น เพิ่มคุณภาพการรับรู้ ความสัมพันธ์ของแบรนด์ที่แข็งแรงขึ้น และจำนวนแบรนด์ที่เกี่ยวข้องกับกรรมสิทธิ์สินทรัพย์เพิ่มขึ้น แบบยังมีความเข้าใจในเงื่อนไขที่ระบุระดับใดสร้างมูลค่าที่แท้จริงกับผู้บริโภคและบริษัทกำหนดนโยบายตราสินค้า pursued

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ในรูปแบบของเขาส่วนแบรนด์ David A. Aaker ระบุห้าองค์ประกอบตราสินค้า: 1.brand ความภักดีความตระหนัก 2.brand สมาคม 4.brand 3.perceived คุณภาพและสินทรัพย์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ 5.Other Aaker กำหนดตราสินค้าเป็นชุดของแบรนด์สินทรัพย์และหนี้สินที่เชื่อมโยงกับชื่อแบรนด์และสัญลักษณ์ที่เพิ่มมูลค่าให้กับหรือค่าลบจากสินค้าหรือบริการ สินทรัพย์เหล่านี้รวมถึงความภักดีแบรนด์การรับรู้ชื่อ, ที่มีคุณภาพการรับรู้และสมาคม นี้เน้นความหมาย 'มูลค่าแบรนด์เพิ่ม'; แต่รูปแบบของเขาไม่ได้ทำให้ความแตกต่างอย่างเข้มงวดระหว่างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าผู้บริโภค / และมูลค่าเพิ่มให้กับเจ้าของแบรนด์ บริษัท / รุ่นนี้สามารถใช้ในการไปจับกับทุนของแบรนด์และได้รับข้อมูลเชิงลึกในความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์ที่แตกต่างกัน ส่วนประกอบทุนและ (ในอนาคต) ผลการดำเนินงานของแบรนด์ นอกเหนือจากห้าองค์ประกอบรูปแบบยังสะท้อนให้เห็นถึงตัวชี้วัดของนโยบายการสร้างตราสินค้าติดตาม มันไปโดยไม่บอกตราสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มความภักดีแบรนด์การรับรู้แบรนด์เพิ่มขึ้นของการเพิ่มขึ้นของการรับรู้ที่มีคุณภาพสมาคมแบรนด์กลายเป็นที่แข็งแกร่งและจำนวนของแบรนด์ที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ รูปแบบนอกจากนี้ยังมีความเข้าใจในเกณฑ์ที่บ่งบอกถึงสิ่งที่การศึกษาระดับปริญญามูลค่าที่แท้จริงจะถูกสร้างขึ้นกับทั้งผู้บริโภคและ บริษัท เนื่องจากนโยบายการสร้างตราสินค้าติดตาม

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ในตราสินค้าแบบ เดวิด เอ. เคอร์ระบุ 5 ตราสินค้า ส่วนประกอบ : 1.brand ภักดี 2.brand ความตระหนัก 3.perceived คุณภาพ 4.brand สมาคมและทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ 5.other . เคอร์กำหนดคุณค่าตราสินค้าเป็นแบรนด์ชุดของสินทรัพย์และหนี้สินที่เชื่อมโยงกับแบรนด์ชื่อและสัญลักษณ์ที่เพิ่มค่าหรือลบค่า จาก ผลิตภัณฑ์ หรือบริการสินทรัพย์เหล่านี้ ได้แก่ ความซื่อสัตย์ การรับรู้แบรนด์ชื่อ การรับรู้คุณภาพและสมาคม ความหมายนี้เน้นแบรนด์ ' มูลค่าเพิ่ม ' ; อย่างไรก็ตาม , รูปแบบของเขาไม่ได้ให้เข้มงวด ความแตกต่างระหว่างเพิ่มมูลค่าให้ลูกค้า / ผู้บริโภค และเพิ่มค่า

เจ้าของแบรนด์ / บริษัทรุ่นนี้สามารถใช้ในการไปจับกับส่วนของแบรนด์ และเพิ่มความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์ที่แตกต่างกันและส่วนประกอบ ( ในอนาคต ) ประสิทธิภาพของแบรนด์ นอกเหนือจากห้าองค์ประกอบรูปแบบสะท้อนถึงตัวชี้วัดในการติดตามนโยบาย มันไปโดยไม่บอกว่าหุ้นจะขึ้นเป็นแบรนด์ความภักดีแบรนด์เพิ่มชื่อแบรนด์ความตระหนักที่เพิ่มขึ้นการรับรู้คุณภาพเพิ่มขึ้น สมาคมแบรนด์แข็งแกร่งและจำนวนของแบรนด์ที่เกี่ยวข้องกับกรรมสิทธิ์ของสินทรัพย์เพิ่มขึ้น รูปแบบยังให้ข้อมูลเชิงลึกในเกณฑ์ที่บ่งชี้ว่าระดับมูลค่าที่แท้จริงจะถูกสร้างขึ้นด้วยทั้งผู้บริโภคและ บริษัท จากการติดตามนโยบาย