ความเป็นประเทศเกษตรกรรมของประเทศไทยนั้น นอกจากจะสร้าง “ข้าวปลา” ที่เป็น ”ของจริง”ให้แก่ชาวไทยและผู้คนทั่วโลกมายาวนานแล้ว ในแต่ละปี เศษวัสดุเหลือใช้จากการเกษตรหลายชนิดจำนวนมากสามารถนำกลับมาใช้เป็นพลังงานชีวมวลได้ แต่มีไม่มากคนนักที่จะทราบว่า นอกจากเหล่าเศษชีวมวลที่ได้จากการเกษตรแล้ว ภาคเกษตรกรรมยังสร้างชีวมวลอีกประเภทหนึ่ง ที่ได้มาจากการเลี้ยงสัตว์ในรูปของ “ก๊าซชีวภาพ (Biogas)” ที่เปี่ยมด้วยพลังงานที่ให้ค่าที่แน่นอน มีศักยภาพสูงและยังถูกมองข้าม
แหล่งกำเนิดก๊าซชีวภาพที่มีต้นทุนต่ำและมีปริมาณสูงของประเทศ มาจากสองแหล่งหลักคือ ของเสียหรือน้ำเสียจากโรงงานแปรรูปทางการเกษตร เช่น น้ำเสียจากโรงฆ่าสัตว์ หรือ โรงงานผลิตผลไม้หรือเครื่องดื่มกระป๋อง และมาจาก มูลสัตว์ (Animal dung) จากฟาร์มเลี้ยงสัตว์ในภาคเกษตรกรรม
โลกกับก๊าซชีวภาพ·
ย้อนหลังไปประมาณสามพันปีก่อน ประเทศ Assyria ซึ่งเป็นดินแดนในอดีตที่เคยตั้งในแถบตะวันตกของทวีปเอเชียสมัยโบราณ คือประเทศแรกที่ได้มีการนำก๊าซชีวภาพไปใช้ในการให้ความร้อนในการต้มน้ำอาบ หลังจากนั้นพบว่ามีการใช้ก๊าซชีวภาพในลักษณะเดียวกันในแถบเปอร์เซีย ในช่วงประมาณห้าร้อยปีที่ผ่านมา
แต่เมื่อพิจารณาถึงหลักฐานการบันทึกในยุโรป พบว่าในปี พ.ศ.2173 Jan Baptita Van Helmont เป็นบุคคลแรกที่ค้นพบว่ามีก๊าซเกิดขึ้นจากการเน่าเปื่อยของซากสารอินทรีย์ และต่อมาในปี พ.ศ. 2351 Sir Humphrey Davy ได้พบว่าในบ่อปุ๋ยคอกนั้น มีก๊าซมีเธนเกิดขึ้นและน่าจะนำไปใช้ประโยชน์ได้
อย่างไรก็ตาม อินเดียเป็นประเทศแรกที่มีการใช้ก๊าซชีวภาพอย่างเป็นระบบจริงจัง โดยมีรายงานว่าในปี พ.ศ.2402 มีการสร้างระบบที่เรียกว่า Anaerobic digestion (AD) plant เป็นครั้งแรกในนิคมโรคเรื้อน Matunga ที่เมืองบอมเบย์ และนำพลังงานชีวภาพที่ได้ไปใช้งานภายในนิคม หลังจากนั้น แนวคิดการใช้ก๊าซชีวภาพนี้ก็แพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและประเทศอื่นๆทั่วโลกในที่สุด
ระบบผลิตก๊าซชีวภาพแบบ AD จะอาศัยเทคโนโลยีที่ทำให้กลุ่มจุลินทรีย์ชนิดที่ไม่ต้องการออกซิเจนในการย่อยสลายสารอินทรีย์หลายชนิด ทำหน้าที่หมักย่อยสารอินทรีย์ที่ได้จากแหล่งต่างๆ เช่น จากน้ำเสียที่ได้จากโรงงาน หรือน้ำมูลสัตว์ที่ได้จากฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ให้มาอยู่ในรูปของเหลวในสภาพไร้อากาศ ทำให้สารอินทรีย์จากของเสียดังกล่าวนั้น ถูกย่อยสลายลดปริมาณลง และเปลี่ยนรูปไปเป็นมีเธนและคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ในระยะเวลาประมาณ 1 เดือน ระบบ AD นี้เป็นระบบที่นิยมใช้ในปัจจุบัน
สิ่งที่ทำให้ก๊าซชีวภาพมีความสำคัญในเชิงพลังงานคือ ปริมาณส่วนประกอบของ “มีเธน” ที่มีอยู่ประมาณ 55-70% ในก๊าซชีวภาพ (ที่เหลือจะประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 25-35% และเป็นไนโตรเจนและไฮโดรเจนซัลไฟด์ในส่วนที่เหลือ) และเป็นก๊าซมีเธนที่มีในปริมาณสูงนี่เอง ที่ทำให้ก๊าซชีวภาพมีคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกับก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นก๊าซสะอาด นั่นหมายความว่า หากมีการนำก๊าซชีวภาพไปใช้ในเชิงพลังงาน เช่น การนำไปใช้ในการหุงต้ม การเผาไหม้ของก๊าซชีวภาพที่เกิดขึ้นจะติดไฟได้ดี และปล่อยมลพิษในระดับที่ต่ำกว่าการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วไปมาก
สถานการณ์มูลสัตว์ในประเทศไทย
จากข้อมูลของ กรมปศุสัตว์ พบว่า ในปี พ.ศ. 2543 ประเทศไทยมีปริมาณโค กระบือ สุกร เป็ด ไก่ และช้าง รวมกันกว่า 214 ล้านตัว มูลของสัตว์ทั้ง 6 ชนิดนี้เป็นประเภทที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะสามารถนำมาใช้ผลิตก๊าซชีวภาพ โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้ประเมินศักยภาพของพลังงานที่ได้จากมูลสัตว์ดังกล่าว โดยได้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการเก็บหรือนำมูลสัตว์เหล่านั้นกลับมาใช้ตามสภาพความเป็นจริง เช่น โคเนื้อ กระบือ เป็ด และช้าง ซึ่งเป็นสัตว์ที่เลี้ยงในพื้นที่เปิด จะมีอัตราส่วนของมูลที่น่าจะเก็บได้ไม่เกิน 50% ในขณะที่โคนม สุกร และไก่ ซึ่งจะมีลักษณะการเลี้ยงที่มิดชิดในฟาร์มหรือโรงเลี้ยงที่เป็นระบบมากกว่า อาจสามารถเก็บมูลมาใช้ได้มากถึง 80% ของมูลที่ถ่ายออกมาทั้งหมด อีกทั้งฟาร์มเลี้ยงสัตว์จะเป็นสาเหตุของน้ำเสียจำนวนมาก ซึ่งหากมีการออกแบบระบบที่เหมาะสม จะสามารถผลิตก๊าซชีวภาพได้จากทั้งมูลสัตว์และน้ำเสียได้เป็นจำนวนมาก
อัตราส่วนของมูลที่สามารถเก็บได้นี้มีความสำคัญมาก เพราะหากกสิกร หรือเกษตรกร สามารถจัดทำระบบโรงเลี้ยงที่เอื้ออำนวยต่อการไหล และถ่ายเทของมูลสัตว์ที่ถูกขับถ่ายออกมา จะทำให้ปริมาณก๊าซชีวภาพที่ได้มีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว